ตะลอนทัวร์อีสานตอนล่าง5วัน4คืน
จากที่ได้ขับรถเที่ยวล่องใต้ช่วงหยุดปีใหม่ ทำให้รู้สึกติดใจกับการขับไปเที่ยวไป เพราะเคยฝันมาตอนเด็กๆว่าอยากเดินทางเที่ยวทั่วไทย (สมัยนั้นมีแค่ 73 จังหวัดเอง) ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ก็เลยวางแผนขับรถเที่ยวในเส้นทางอีสานดูบ้าง แต่ด้วยเวลาที่จำกัดคงไม่สามารถเที่ยวทั่วอีสานได้ จึงขอเลือกอีสานตอนล่างสำหรับเวลา 5 วัน 4 คืนในทริปนี้ครับ
ทริปนี้ตั้งใจว่าจะเริ่มออกเดินทางแต่เช้า แต่เอาเข้าจริงได้ออกเดินทางก็เกือบ 10.30 โดยมีจุดหมายปลายทางแรก คือจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่จะเดินทางผ่านสระบุรีกัน แต่ผมเลือกไปทางเส้น 304 ผ่านอรัญประเทศ จากนั้นตัดเข้าบุรีรัมย์ เพื่อได้เดินทางกับเส้นทางใหม่ๆที่ไม่เคยไป
พักเที่ยงทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหาร กาฟงกาแฟ บนเส้น 304 เป็นร้านที่ผมฝากท้องไว้ทุกครั้งที่ต้องเดินทางมาทำงานเส้นทางนี้ อาหารรสชาติดี ที่สำคัญขนมปังสังขยานั้น หนานุ่มแถมสังขยายังหอมหวานอร่อยด้วยครับ
อิ่มท้องก็รีบมุ่งหน้าไป ปราสาทเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งจะผ่านก่อนเข้าตัวเมืองบุรีรัมย์ แต่ด้วยจำนวนรถที่เดินทางร่วมเส้นทางมีมาก กว่าจะไปถึงทางเข้าปราสาทก็ 5.15 แล้ว (พระอาทิตย์ตกประมาณ 5.45)
เดินชมความงามของปราสาทเขาพนมรุ้งจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า จำนวนคนเข้าชมปราสาทดูบางตาเนื่องจากใกล้มืดแล้วซึ่งทำให้สามารถบันทึกภาพแบบเห็นตัวปราสาทมากกว่าคน จากนั้นก็เดินเข้าสู่ตัวเมืองบุรีรัมย์ เพื่อนอนพักผ่อนหลังจากขับมายาวนานกว่า 8 ชม.
เช้าวันที่2 ในเมื่อมาถึงเมืองบุรีรัมย์ ถ้าไม่ได้แวะเยี่นมชมปราสาทสายฟ้า (สนามฟุตบอลของทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด) ก็เหมือนยังมาไม่ถึงเมืองบุรีรัมย์
เนื่องจากตัวปราสาทสายฟ้ากำลังอยู่ในระหว่างจัดเตรียมงานสวดมนต์ข้ามปีนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2560 ซึ่งจะมีการยิงสไลด์และเลเซอร์แบบจัดเต็ม ตัวปราสาทเลยโดนปิดด้วยผืนผ้าสีขาวเพื่อให้สามารถเห็นภาพสไลด์ได้ชัด ก็เลยได้บรรยากาศอีกแบบ (รูปขอยืมมาจาก http://travel.trueid.net/detail/31396)
จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุรินทร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องช้าง โดยแวะศูนย์คชศึกษาจังหวัดสุรินทร์ มีการแสดงโชว์ช้างแบบจัดเต็ม จำนวนช้างเยอะมากครับ บรรยากาศเป็นแบบไทยบ้านๆ เมื่อเทียบกับบ้านช้างที่อยุธยาหรือเชียงใหม่ เพราะสองที่หลังเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า
ออกจากศูนย์คชศึกษา จังหวัดสุรินทร์ ก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี โดยตั้งใจขับเลยตัวเมืองไปเพื่อชม วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดเรืองแสง ซึ่งจะมีความงดงามหลังอาทิตย์ตกดิน เพราะสีที่ใช้ในการวาดต้นกัลปพฤกษ์บนประตูอุโบสถนั้นเป็นสีเรืองแสง
ภาพนี้ถ่ายไปประมาณ 20กว่ารูป มีรูปนี้ที่ออกมาดูดี แต่ไม่ได้ใช้กล้องมือถือนะครับ เพราะถ้ากล้องมือถือคงไม่สามารถออกมาได้ขนาดนี้ ต้นกัลปพฤกษ์สีเขียวที่เห็นนั่นแหละครับที่บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายมาเพื่อชมความงดงามหลังอาทิตย์ตกดิน เป็นอันจบการเดินทางของวันที่ 2
วันที่ 3 เรายังคงอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี เพราะมีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เริ่มเช้าด้วยไข่กระทะ ร้านสามชัยซึ่งมีชื่อเสียงของจังหวัด เจ้าของกำกับดูแลผ่านไมค์กระจายเสียงเองเลยครับ
อิ่มท้องเสร็จ ก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ ผาแต้ม บรรยากาศแบบเปิดโล่ง ร้อนได้ใจครับ จริงๆมีเส้นทางเดินชมภาพโบราณบนหินผา และธรรมชาติ ซึ่งต้องเดินเป็นเวลาชั่วโมงกว่า แต่ด้วยประชากรแบบเด็ก สตรี และคนชรา เลยเอาแค่ได้เห็นสักภาพ สองภาพก็พอครับ
ก่อนขับออกจากผาแต้ม จะผ่าน จุดชมวิว เสาเฉลียง ซึ่งเป็นหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มีรูปทรงที่เหมือนเห็ด ให้แวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน
จุดหมายต่อไปนั้น เป็นจุดที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดอุบลราชธานี นั่นก็คือ สามพันโบก การชมความงามของสามพันโบกซึ่งกว้างใหญ่ ถ้าจะเดินก็ดูจะร้อนมากกว่าจะไปจากจุดจอดรถเพื่อไปถึงจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ต่าง จึงตีตั๋วรถสองแถว ที่จะขับลุยหลุม แอ่งพาเราไปสักระยะทางหนึ่ง แล้วให้เราเดินเที่ยวชมเสร็จ ก็เอาหางตั๋วนั่งกลับมาเป็นการทุ่นแรง เพราะยังต้องมีการปีนป่ายกันอีกมาก
เนื่องจากสภาพเกาะแก่งที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำมาเป็นเวลานาน เมื่อน้ำลดลงก็ทำให้เห็นความแปลกตาของหินใต้น้ำ ที่บางจุดจะเป็นหลุมบ่อที่เราสามารถจินตนาการเป็นรูปมิคกี้เม้าท์ บางจุดก็จะเป็นรูปทรงหัวสุนัข ต่างๆนาๆ ตามแต่จินตนาการ แนะนำให้ไปหลังบ่าย4.30 จะดีกว่าครับ เพราะแสงที่ลงเพื่อบันทึกภาพจะเป็นใจมากกว่า และไม่ร้อนจนเกินไปกับการปืนป่าย
จากสามพันโบก ห่างไปอีกประมาณ 30 นาทีจะมีจุดท่องเที่ยวใหม่ที่เรียกกันว่า หาดชมดาว ผมกลับชอบที่นี่มากกว่า เพราะยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากเท่าสามพันโบก และยังมีความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีร้านค้ามากมาย มาแก่งแย่งกันขายของ
เนื่องจากไม่มีฝูงชนและพ่อค้าแม่ค้ามาก ประกอบกับอากาศที่เย็นลง มีลมพัดโบก ไกด์ท้องถิ่นตัวน้อย ก็พาเราปีนป่ายเพื่อไปชมความงามตามจุดต่างๆของหาดชมดาว ในขณะที่แสงอาทิตย์กำลังทอแสงงดงาม เป็นภาพที่ประทับใจมากครับ คนขับรถที่ขับพาเราลงไปหาดชมดาวนั้นบอกว่า เราสามารถกางเต้นท์นอนได้ เพราะความงดงามอีกแบบในยามค่ำคืน จึงได้เรียกกันว่า หาดชมดาว ไว้มีโอกาสจะแวะมาอีกแน่นอนครับ
วันที่ 4 ของการเดินทางนั้น วางแผนเดินทางเขยิบเข้าใกล้กรุงเทพเพิ่มมากขึ้น โดยมีจุดหมายปลายทางเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด สาเหตุที่เลือกแวะจังหวัดนี้ เพราะไปอ่านเจอบทความของคุณ Chilljourney ในพันทิป https://pantip.com/topic/33839211 จนความอยากเกิดขึ้น
เติมอาหารเช้าที่ร้านครัวไซง่อน ซึ่งเพื่อนที่จังหวัดอุบลราชธานี แนะนำให้มาที่ร้านนี้ ถ้าไม่ใช่คนพื้นที่คงไม่รู้ครับ ส่วนใหญ่ก็จะฝากท้องกับ Wongnai แต่ผมว่าพักหลังๆ หลายๆที่ที่ไปก็ไม่ถูกปากถูกใจตามที่รีวิวไว้
เพื่อนแนะนำให้แวะโครงการม่วงสามสิบ ก่อนไปจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อซื้อเมล่อนและชมฟาร์มออแกนิก จิบกาแฟก่อนขับรถกันยาวนานอีกครั้งเพื่อไปชมวัดสวยงามของจังหวัดร้อยเอ็ด
วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม (ผาน้ำย้อย) เป็นวัดที่ ประดิษฐานพระมหาเจดีย์ชัยมงคลใหญ่ ภาพที่ผมถ่ายออกมาได้แค่นี้ครับ แต่ภาพที่คุณ Chilljourney ถ่ายออกมานั้น สวยงามจนผมต้อมาเยี่ยมชม เนื่องด้วยเป็นช่วงเทศกาล ประชาชนมาวัดกันมาก และรถติดมากระหว่างขับเข้าวัด เสียเวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็มกับระยะทางสั้นๆ
อันนี้เป็นรูปที่ผมเห็นของคุณ ChillJourney ครับ
ออกจากวัดผาน้ำทิพย์ก็มุ่งตรงไปวัดป่ากุงหรือวัดประชาคมวนาราม เพื่อชมเจดีย์หินทรายธรรมชาติแห่งแรกในประเทศไทย โดยจำลองแบบมาจากบุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย แต่ไปถึงหาเจดีย์ไม่เจอครับ เห็นแต่สระน้ำ ซึ่งก็สวยไปอีกแบบนะครับ
สอบถามคนแถวนั้น ถึงได้ทราบว่าเจดีย์หินทรายนั้น ต้องเดินจากมุมสระน้ำไปอีกหน่อยถึงเห็นเจดีย์ครับ ยังดีที่ฟ้าไม่มืดเสียก่อน เป็นอันจบการเดินทางอีสานตอนล่างวันที่ 4 นี้ ก่อนเข้าพักที่ตัวเมืองร้อยเอ็ดเพื่อเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันพรุ่งนี้
วันที่ 5 นั้นขับกลับกรุงเทพฯอย่างเดียว ออกจากร้อยเอ็ดตี5 ถึงกรุงเทพฯ 5 โมงเย็น เพราะทุกคนต่างมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯกัน การขับไปเที่ยวไปตามภูมิภาคต่างๆของเมืองไทยนั้น ผมว่ามีเสน่ห์มาก เพียงแต่ถ้าเลือกเดินทางในช่วงเทศกาล ก็จะเกิดความเครียด หรือเมื่อยล้าจากจำนวนรถร่วมทาง ถ้าเราสามารถเลี่ยงช่วงเวลานี้ได้ การเดินทางเที่ยวทั่วไทยก็คงจะมีความสุขสนุกไม่แพ้การเดินทางขับรถเที่ยวในประเทศนิวซีแลนด์เลยทีเดียว