Arambros ทริปขับรถล่องภาคใต้ 3,000 กม. (วันที่2)
ติดตามกันต่อครับ สำหรับการเดินทางล่องใต้ วันที่ 2นี้ เป็นการออกเดินทางจากชุมพร โดยมีจุดหมายปลายทางคือเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลานที่ใครใครคุ้นเคย ระหว่างทางนั้นมีที่ให้แวะเที่ยวแวะชมจนเพลินเกือบจะไปขึ้นเรือเพื่อไปยังที่พักแพที่เขื่อนเชี่ยวหลานไม่ทัน ทริปวันนี้ มีทั้งน้ำเค็ม และน้ำจืด ภูเขา ถือว่าหลากหลายอารมณ์เลยครับ
เริ่มเช้าวันที่ 2 ด้วยการตื่นเช้าขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นหน้าหาดตรงบริเวณที่พักพอดี เป็นเวลานานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้มีโอกาสตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ บรรยากาศยามเช้าจะดูค่อนข้างเงียบเหงาเนื่องด้วยผู้คนยังไม่ตื่นนอนกันเลย ส่วนใหญ่จะเห็นแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเดิน วิ่ง ออกกำลังกายริมหาดเท่านั้น ก็เลยดูเหมือนจะเป็นหาดทรายส่วนตัวของเราในเช้านี้เลยครับ
ระดับน้ำนั้นขึ้นมาสูงมากเมื่อเทียบกับตอนที่เล่นเมื่อวานเย็น
อาทิตย์ขึ้นเต็มแล้ว เริ่มมีนักท่องเที่ยวออกมาเดินกันมากขึ้นละครับ
เดินชิวๆริมหาดสูดอากาศสดชื่นที่นานๆจะได้มีโอกาสมาสัมผัสทีนึง ระหว่างเดินก็มาเจอเจ้าก้อนนี้ที่ดูเหมือนจะโดนพัดมาเกยหาด โอ้วพระเจ้ามันมาได้ยังไง แต่โดยรวมหาดสะอาดนะครับ จะมีก็แต่ซากต่างๆที่โดนพัดเข้ามาตอนน้ำขึ้นกลางคืน แล้วลดลงไปจนค้างอยู่ริมหาด
เติมอาหารเช้าใส่ท้องที่โรงแรมเสร็จ ก็เตรียมตัวออกเดินทาง โดยมีจุดหมายแรกคือ ศาลกรมหลวงชุมพรฯ
แต่แผนที่อากู๋ก็สร้างปัญหาให้ผมจนได้ เนื่องจากผมค้นหาสถานที่ด้วยคำว่า กรมหลวงชุมพร โดยตั้งใจจะไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพรฯ (เสด็จเตี่ย) ซึ่งในแผนที่คือวิ่งลงไปทางใต้ แต่แล้วอากู่ก็พาผมไปยัง ตึกกรมหลวงชุมพรฯ ในมหาลัยลาดกระบังวิทยาเขตชุมพรแทน ซึ่งอยู่ทางเหนือ เป็นคนละทางกันเลยครับ
งานนี้ผมเลยต้องเสียเวลาไปเกือบ 1 ชั่วโมงเพื่อวิ่งไปกลับมาจุดเดิม นี่ขนาดทำการบ้านมาแล้วนะครับ ยังพลาดได้ ขอแนะนำเลยครับว่า ให้ศึกษาเส้นทางก่อนล่วงหน้า และพิมพ์ค้นหาให้ละเอียดๆจะดีกว่านะครับ ระหว่างที่ขับวกกลับไปไหว้เสด็จเตี่ย ก็ผ่านจุดชมวิวเขาดินสอ ไหนๆก็ไหนๆ เลยแวะซะหน่อย
เขาดินสอจะมีชื่อเสียงเรื่องฝูงเหยี่ยวอพยพที่จะมารวมตัวกันปีละหน (ช่วงเดือนตุลาคม) แบบเป็นร้อยๆตัวเลยครับ ทางขึ้นระยะทางไม่ยาวมาก มีช่วงชันมากๆเป็นช่วงสั้นๆ แต่จุดจอดรถน้อยมากและกระชั้นชิด ยังดีว่าเป็นช่วงที่ฝูงเหยี่ยวได้ไปกันหมดแล้ว เลยมีแค่รถผมขึ้นมาคันเดียว กับรถคนขายน้ำครับ อย่างไรก็ตามจุดชมวิวที่นี่ก็สวยงามนะครับ
ออกจากจุดชมวิวเขาดินสอ ขับผ่านจุดชมวิวเขามัทรี ทางผ่านก่อนถึงศาลเสด็จเตี่ย ก็เลยแวะก่อนตามนิสัย
บนเขามัทรีนั้นจะมีร้านกาแฟให้นั่งกินนั่งชมบรรยากาศ โดยในร้านจะมีจุดที่สามารถชมวิวปากน้ำชุมพรได้เต็มๆ ถ้ามาตอนค่ำๆคงสวยงามอีกแบบครับ
จุดชมวิวเขามัทรีนั้น พื้นที่จอดรถก็ค่อนข้างจำกัด และทางขึ้นก็ชันแต่ระยะทางไม่ยาว ถ้ามาตรงช่วงเทศกาล หรือสายๆหน่อย คงเหนื่อยและลุ้นกับการจอดชะลอรถกลางทาง โดยเฉพาะขาลงนั้นควรตรวจสอบระบบเบรคให้ดีก่อนนะครับ พยายามใช่เกียร์ต่ำๆเข้าไว้ บริเวณรอบๆก็มีรูปปั้น ให้ถ่ายเก็บเอาไปโพสต์ ตามกระแส Social
มาถึงสักทีครับ ศาลเสด็จเตี่ย รีบเข้าไปสักการะบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลกับการเดินทางล่องใต้ครั้งนี้
ศาลนี้อยู่ติดทะเลครับ ตรงจุดที่ยืนถ่ายรูปศาลนั้น บางทีคลื่นก็ซัดขึ้นมาสูงจนเปียกได้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงมรสุมของฝั่งอ่าวไทย ข้างๆเป็นเรือรบที่ท่านเคยใช้งาน
เคยได้ยินชื่อท่านบ่อยๆ แต่ไม่เคยศึกษาประวัติท่านจริงๆจังๆ ท่านคุมส่วนทหารเรือในช่วงสมัยรัชกาลที่5 (เป็นบุตรของร.5) ได้ลั่นวาจาปกป้องฝืนแผ่นดินสยามได้ชัดถ้อยชัดคำมากครับ
จุดหมายต่อไปคือ สวนนายดำ ซึ่งเป็นจุดที่มีผู้คนมาแวะพักกันเยอะ เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางที่ต้องผ่านเพื่อไปยังภาคใต้
ภายในสวนนายดำนั้น กิจกรรมหลักๆก็คือซื้อขายผลไม้ และผลไม้แปรรูปสารพัดชนิดที่มาจากสวนตัวเอง และสวนอื่นๆ รวมถึงของฝากท้องถิ่น และขนมโบราณๆ อย่างขนมขี้มอด (เพื่อนๆรู้จักกันไหมครับ)
หน้าตาขนมขี้มอดเป็นอย่างนี้ครับ เค็มๆ กรอบๆ หวาน ผสมๆกัน เหมือนกินขี้เลื่อยหวานๆ (555)
กินขนมขี้มอดเสร็จ ก็อย่าลืมล้างคอด้วยกาแฟขี้ชะมด
ในสวนยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่มากดูร่มรื่นเหมาะกับการนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ฟังเพลงโฟล์คซองสดที่ทางสวนจัดไว้แบบ ชิวๆครับ
ร้านอาหารในสวนนายดำนั้น ปริมาณอาหารเสริฟมาแบบว่าไม่สนว่ามากี่คน อย่างผมมากัน ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 แต่เสริฟมากินได้ 10 คนเลยหล่ะครับ ยังดีสั่งไปแค่ 3 เมนู อิ่มท้องแล้วก็แวะเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมออกเดินทาง จึงทำให้รู้ว่าสวนนายดำมีชื่อเสียงอีกเรื่องคือ สุดยอดห้องส้วมแห่งปี
เพราะมีการสร้างห้องน้ำออกมาในรูปแบบต่างๆให้ติดตามระหว่างจะปลดหนักปลดเบา มี 4 บรรยากาศ ทาร์ซาน ตูดหมู รู และก้อนทอง
ผมเข้าที่แรกก็ส้วมรูครับ ดูแค่รูปส้วมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร มันคือห้องส้วมที่มีทางออกที่เราสามารถจะปีนโผล่ออกมาจากรูโถส้วม ตามรูปครับ
ด้วยความคัน ก็เลยต้องเสียเวลาเกา เพื่อหาความจริงว่า ส้วมแบบที่เหลือ คืออะไร เริ่มจาก ตูดหมู ซึ่งก็คือห้องส้วมเดี่ยวๆ ธรรมดาที่ทำทรงด้านนอกเป็นตูดหมู
ส่วน ก้อนทอง ก็คือเป็นห้องส้วมที่ทำรูปทรงด้านนอก เป็นก้อนที่ออกมาตอนปลดทุกข์หนัก
อันสุดท้าย คือ ทาร์ซาน แบบว่าต้องปีนบันไดลิงเพื่อไปปลดทุกข์ (ใครทุกข์หนักผมไม่แนะนำน่ะครับ 555)
เหนื่อยจากการสำรวจส้วมแห่งปีเสร็จ ก็ออกเดินทางเพื่อไปขึ้นเรือที่เขื่อนเชี่ยวหลาน แต่เกิดความผิดพลาดในการจองเรือไว้ล่วงหน้า เพราะผมคุยไม่ชัดเจนกับทางเจ้าของเรือ เนื่องจากเขาต้องการแต่ให้เช่าเหมาลำ แต่เราบอกไปว่าจะจองไว้ก่อน แล้วถ้าบังเอิญมีคนสนใจมาแชร์ก็จะได้จ่ายน้อยลง กลับกลายเป็นว่าเขาไม่สนใจเพราะต้องการแต่จะให้เช่าเหมาลำ ยังดีทางแพโทรมาสอบถาม จึงมารู้ว่าเจ้าของเรือไม่ได้เตรียมเรือให้ ทางแพก็ช่วยประสานกับทางเจ้าของเรือให้ โดยสุดท้ายสรุปว่าต้องเร่งเดินทางไปให้ทันเพื่ออาศัยเรือของคณะอื่นที่จองเหมาลำไว้ หวุดหวิดเลยครับงานนี้
การจะมานอนแพที่เขื่อนเชี่ยวหลานซึ่งมีประมาณเกือบ 20 กว่าแพซึ่งมีทั้งของทางกรมอุทยาน และของเอกชนที่รับสัมปทาน การเดินทางไปพักบนแพต่างๆ ต้องอาศัยเรือของชาวบ้านแถวนั้นไปยังแพจุดหมาย โดยใช้เวลา 30-60นาที แล้วแต่สถานที่ของแพพักต่างๆ ซึ่งก็จะมีอัตราเช่าเหมาลำที่ชัดเจนแสดงอยู่ในอาคารท่าขึ้นเรือ ผมแนะนำว่าถ้าจะประหยัดค่าเช่าเรือให้มาเช้าๆแล้วรอจังหวะแชร์กับก๊วนอื่นๆ แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากและมากรุ๊ปใหญ่ก็เช่าเหมาลำเลยครับ อย่าครึ่งๆกลางๆไม่งั้นจะเป็นแบบผมครับ อิอิ (แชร์เรือก๊วนอื่นแล้วยังต้องจ่ายในอัตราเหมาลำ ตั้ง 2500)
ขึ้นเรือก็เกือบบ่ายภโมงครึ่ง เรือที่ใช้โดยสารไปยังแพก็เป็นเรือหางยาวทั่วไปบางลำก็โล่งเตียนบางลำก็ยังพอมีที่กันแดดให้บ้างครับ
ระหว่างล่องเรือไปยังแพ 45นาทีนั้น วิวรอบข้างนั้นสวยจนต้องยกกล้องกดถ่ายไปตลอดทาง มุมนี้ก็ดี มุมนี้ก็น่าเก็บไว้ แต่ก็ควรละสายตาจากกล้องมาชมความสวยงามด้วยตาเปล่าบ้างก็ดีครับ
และแล้วก็มาถึงแพคลองคะในช่วงเวลาที่กำลังดีเลยครับ 5.45 แสงอาทิตย์สีทองเริ่มสาดเข้ามายังแพ สวยงามจนตื่นเต้นกันไปทั้งคณะที่นั่งในเรือ ลั่นชัตเตอร์กล้องกันสนุกมือ
หลังลงเรือขึ้นแพคลองคะ ก็รีบตรงไปเก็บสัมภาระเข้าบ้านพักที่ทำจากไม้ไผ่ ภายในห้องนั้นโล่งๆไม่มีอะไรมากมายมีมุ้งให้กางตอนเข้านอนเพื่อกันยุง ไม่มีห้องน้ำในตัวแพไม่ไผ่ แต่จะมีห้องน้ำรวมให้ไปใช้ซึ่งก็สะดวกสบายดีครับ
แนะนำให้สวมชูชีพเล่นน้ำตลอดเวลาน่ะครับ ถึงแม้ว่าเราจะว่ายน้ำแข็งแค่ไหนเพื่อความไม่ประมาทครับ
อาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ซึ่งแพที่พักให้เล่นน้ำบริเวณที่พักได้ไม่เกิน 6 โมงเย็น ผมได้เล่นอยู่แค่ประมาณ 15 นาที ก็ต้องขึ้น เพราะทางเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า 6โมงเย็นแล้ว ให้ขึ้นเพื่อความปลอดภัย
ที่แพคลองคะนั้น อาหารจะเป็นลักษณะเหมาจ่ายมาเลยว่ากินกี่มื้อ รวมค่าที่พัก แต่ไม่สามารถเลือกเมนูอาหารได้ ถ้าใครมีข้อห้ามเยอะเรื่องอาหาร ผมแนะนำครับว่าลองหาแพเอกชน อาจจะสะดวกกว่าสำหรับท่าน ระหว่างทานอาหารมื้อค้ำก็จะมีคณะหนังตะลุงสุทินมาเล่นให้ชมด้วยครับ
ปกติแพคลองคะนั้น จะตัดไฟฟ้าตอน 4 ทุ่มแล้วมีไฟแสงสว่างให้เดินไปมาได้โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่เก็บไว้ตอนกลางวัน แต่ช่วงที่ผมไปนั้นเป็นช่วงเทศกาล มีเด็กๆไปกันเยอะ ทางแพคลองคะก็เลยยืดเวลาตัดไฟฟ้าออกไปเป็นเที่ยงคืน อากาศไม่ได้เย็นอย่างที่คิดไว้เลยครับ ไม่มีลมพัดเลย ต้องเปิดประตูหน้าต่างให้ลมพัดเข้าออกเพื่อบรรเทาอาการร้อนอบอ้าว แต่ตอนตี4กว่าๆก็เริ่มมีลมพัดแรงขึ้นมาให้ได้เย็นสบายจนมุ้งโอนเอนไปตามแรงลมครับ ราตรีสวัสดิ์ แล้วติดตามวันที่สามสำหรับการล่องใต้ต่อไปนะครับ