Arambros เยือนเมือง 2 ทวีป อิสตันบูล Part 2
เช้าวันที่สองในอิสตันบูล สายฝนก็ตกต้อนรับกันตั้งแต่เช้าซึ่งเป็นไปตามพยากรณ์ที่ผมตรวจเช็คมาก่อนเดินทาง แต่ก็คอยแอบหวังในใจว่าตกซักพักเดี๋ยวก็คงหยุด แต่นั่งรอไปจนเริ่มสายก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกก็เลยตัดสินใจว่าวันนี้ไปเที่ยวกันท่ามกลางสายฝนเลยแล้วกันครับ พระราชวังท็อปปกาปิ (Topkapi Palace) เป็นจุดหมายแรกในวันนี้ที่เราจะไปกัน พระราชวังอยู่ไม่ไกลจากวิหารเซนต์โซเฟียที่เราไปกันมาเมื่อวาน

Topkapi Palace ในวันฝนพรำ
ดูเหมือนสายฝนจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลาย เมื่อเราไปถึงยังทางเข้าก็พบนักท่องเที่ยวต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อซื้อบัตรเข้าพระราชวัง ยังดีที่เราซื้อ Museum Card มาตั้งแต่เมื่อวานเลยไม่ต้องไปต่อคิวให้เสียเวลา (เห็นถึงข้อดี Museum Card ก็ตอนนี้หล่ะครับ) พระราชวังท็อปกาปิ สร้างขึ้นตามบัญชาของสุลต่านเมห์เม็ตที่ 2 ผู้พิชิตคอนสแตนติโนเบิล พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งอาณาจักรออตโตมันในช่วงปี 1465-1856 หลังการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันรัฐบาลตุรกีจึงแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1924
พระราชวังท็อปกาปิ แบ่งออกเป็น สี่ส่วนลานกว้าง (Courtyard) และมีในส่วนฮาเร็ม (Harem) ด้วยฝนที่โปรยปรายไม่หยุด ทำให้เราเร่งรีบในการเดินเพื่อหลบฝนและไม่มีการศึกษาในแผนที่ของพระราชวังสักเท่าไหร่ หลังจากเข้ามาในพระราชวังแล้วเราก็มุ่งหน้าเข้าไปยัง Courtyard 3 ที่เป็นส่วนที่จัดแสดงสมบัติและวัตถุล้ำค่า โดยมีของแสดงที่สำคัญอยู่ 2 สิ่งที่ไม่ควรพลาดชม Topkapi Dagger และ The spoonmaker’s Diamond ทั้งนี้ภายในส่วนจัดแสดงไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปครับ

Topkapi Dagger Credit Photo : samrose.com
หลังเข้าชมห้องเก็บสมบัติล้ำค่าต่างๆแล้ว พวกเราก็เดินต่อไปยังส่วนในสุด หรือที่เรียกว่า Imperial Sofa ซึ่งบริเวณนี้จะประกอบไปด้วยศาลาพักร้อนและพลับพลาเป็นจำนวนมาก และยังมีระเบียงให้ชมวิวเมืองอิสตันบูลที่สามารถมองเห็นหอคอยกาลาตาได้อย่างชัดเจน เสียดายวันที่ผมไปนั้นฝนตกตลอดเวลาเลยได้วิวมาแบบขมุกขมัวไปหน่อยครับ

ภายใน Bangdad Pavilion

วิวเมืองอิสตันบูลพร้อมหอคอยกาลาตา
เมื่อดูเวลาแล้วดูจะผ่่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องเร่งฝีเท้าเดินต่อไปยังส่วนฮาเร็ม Harem ถ้าเราซื้อตั๋วปกติมาการเข้าชมฮาเร็มจะต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม ส่วนบัตร Museum Pass รวมค่าเข้ามาเรียบร้อยครับ Harem เป็นส่วนที่อยู่อาศัยของ พระราชชนนี พระชายา เจ้าจอม นางกำนัลและขันที ภายในนั้นมีห้องหับมากมายละลานตาไปหมด แต่ละห้องมีการตกแต่งที่สวยงามโดยเฉพาะโมเสกและกระจกสีที่ประดับภายในห้องต่างๆ แต่เวลาของพวกเราค่อนข้างจำกัดทำให้ต้องรีบเดินชมภายในอย่างรวดเร็ว เพราะมีจุดหมายอื่นที่ต้องไปเยี่ยมชมอีก

Harem of Topkapi Palace

โมเสกและกระจกสีที่ประดับสวยงามในส่วน Harem
ออกจากพระราชวังท็อปกาปิ เราออกมารัปประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะรีบเดินทางต่อไปพระราชวังโดลมาบาชเช่ แต่ก็พบว่าพระราชวังนั้นปิดตอน 4 โมงเย็น (ซึ่งความเข้าใจแรกพวกเราเข้าใจว่าปิดตอน 6 โมงเย็น ก็เลยถือเป็นความผิดพลาดไปครับ) เราเลยตัดสินใจหันหัวกลับไปเดินช็อปกันที่ Spice Market ที่เค้าว่ากันว่าราคาสินค้าถูกกว่าแกรนด์บาซ่าร์ สินค้าที่ให้เลือกซื้อก็มีพวกของที่ระลึก ขนม Turkish Delight ชาแอ็ปเปิ้ล ผลแอปริคอทอบแห้ง หรือถั่วพิสตาชิโอ

Spice Market

ขนม Turkish Delight
ละลายเงินลีร่าใน Spice Market กันเรียบร้อย พวกเราก็ไปชมการแสดง Whirling Dervish Dance ที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์การแสดงของตุรกี ควบคู่ไปกับระบำหน้าท้อง แต่โดยความเป็นจริงแล้ว Dervish Dance เป็นการเต้นในพิธีกรรมของนักบวชกลุ่ม Mevlevi

โรงละคร Whirling Dervish Dance Show
ผู้แสดงจะสวมเสื้อขาวกระโปรงสีขาวพร้อมชุดคลุมสีดำ และมีหมวกขนอูฐทรงสูง ผู้แสดงจะถอดชุดคลุมสีดำออกอันหมายถึงจิตวืญญาณที่พร้อมไปสู่ความจริง และจะเริ่มเอามือมาทาบบนหน้าอกแบบไขว้กัน อันหมายถึง ความเป็นเอกภาพของพระเจ้า จากนั้นจะเริ่มทำการหมุนตัวโดยมือข้างขวาจะหงายขึ้นฟ้า เพื่อรับพลังจากพระเจ้า ส่วนมือข้างซ้ายก็คว่ำลงพื้นเพื่อถ่ายทอดพลังสู่พื้นโลก การหมุนจะหมุนขวาไปซ้าย ยิ่งดูก็ยิ่งทึ่งว่าเค้าหมุนกันได้ยังไงไม่รู้สึกเวียนหัวกันเลยเหรอ น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพในสถานที่แสดงได้ แต่ผมก็ไปเก็บภาพมาจากร้านอาหารมาให้เพื่อนๆชมกัน อาจจะดูไม่อลังการเท่าการแสดงจริงน่ะครับ

Whirling Dervish Dance ในร้านอาหาร
เป็นอันว่าโปรแกรมวันนี้่ผ่านไปแบบทุลักทุเลท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายตลอดเวลา พรุ่งนี้ไม่รู้สภาพอากาศจะเป็นอย่างไร แต่แผนเราคงต้องกลับไปแก้มือที่พระราชวังโดลมาบาชเช่เป็นแน่นอนครับ